วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


เขาพระวิหาร   หรือ   ปราสาทเขาพระวิหาร

                    อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อยู่ในพื้นที่ของ อำเภอน้ำยืน อำเภอน้ำขุ่น จังหวัดอุบลราชธานี และอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มีเนื้อที่ประมาณ 81,250 ไร่ (130 ตารางกิโลเมตร) อาณาเขตด้านใต้ติดต่อกับประเทศกัมพูชา มีถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารบริเวณผามออีแดง ในตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ เป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14 ก ลงวันที่ 20 มีนาคม 2541) นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 19 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของประเทศ
พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาพระวิหาร ป่าฝั่งลำโดมใหญ่ ท้องที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นพื้นที่ป่าไม้ชายแดนให้เป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ ห้ามเข้าไปและอาศัยอยู่โดยเด็ดขาด เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังคงความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่มาก มีทัศนียภาพที่สวยงาม ตลอดจนโบราณสถานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และกรมป่าไม้กำหนดและประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ
อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารมีทัศนียภาพและทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่หลายแห่ง เช่น จุดชมวิวผามออีแดง จุดชมวิวหน้าผาช่องโพย บริเวณป่าและสวนหินรอบสระตราว ถ้ำฤๅษี แหล่งตัดหิน สถูปคู่ ภาพสลักนูนต่ำใต้ผามออีแดง น้ำตกผาช่องโพย จุดชมวิว ภูเซี่ยงหม้อ ปราสาทโดนตวล และที่สำคัญคือ ปราสาทเขาพระวิหาร อันเป็นโบราณสถานสำคัญเก่าแก่ ที่เคยเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทยกับประเทศกัมพูชา เมื่อพ.ศ. 2505 และในที่สุดศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้ตัดสินให้ตัวปราสาทอยู่ในอธิปไตยของประเทศกัมพูชา แต่ถนนและบันไดทางขึ้นสู่ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ทางฝั่งไทย และพื้นที่ทางขึ้นบริเวณผามออีแดงที่จังหวัดศรีสะเกษเป็นทางขึ้นที่สะดวกที่สุด







ลักษณะภูมิประเทศ

พื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของเทือกเขาพนมดงรัก ลาดเอียงไปทางทิศเหนือกั้นพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง เนินเขามีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 200-500 เมตร เป็นแหล่งต้นน้ำของลำห้วยลำธารต่าง ๆ ได้แก่ ห้วยตามาเรีย ห้วยตานี ห้วยตาเงิด ห้วยตุง ห้วยตะแอก และห้วยบอน เป็นต้น






ลักษณะภูมิอากาศ

                   ป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ท้องที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี แบ่งออกได้เป็น 3 ฤดู คือ
ฤดูร้อน ระหว่างเดือนมีนาคม พฤษภาคม
ฤดูฝน ระหว่างเดือนมิถุนายน ตุลาคม
ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน กุมภาพันธ์
พืชพรรณและสัตว์ป่า

              เนื่องจากพื้นที่ของอุทยานส่วนใหญ่เป็นภูเขาลาดชัน เป็นเนินเขา สภาพป่าจึงประกอบด้วย


                             ป่าเบญจพรรณ พันธุ์ไม้คละปะปนกันมาก เช่น ประดู่ มะค่าโมง แดง ชิงชัน ตะแบก มะเกลือ งิ้วป่า ฯลฯ พืชพื้นล่างมีหญ้าและไผ่ชนิดต่าง ๆ

                      ป่าเต็งรัง มีต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดกลางขึ้นอยู่กระจัดกระจาย พืชชั้นล่างมีหญ้าชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะหญ้าแพ้ว พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง พยอม เขลง ตะคร้อ ฯลฯ

                          ป่าดิบแล้ง พบบริเวณที่ราบเรียบหรือหุบเขา พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ ตะเคียน พยุง สมพง กระเบากลัก กัดลิ้น ข่อยหนาม ยาง กระบก ฯลฯ พืชพื้นล่างมีหวาย และพืชในตระกูลขิงข่าต่าง ๆ
สภาพป่าของป่าเขาพระวิหารและป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ บนเทือกเขาพนมดงรักยังมีความอุดมสมบูรณ์ จึงมีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่ทั่วไป เช่น หมูป่า ลิงแสม พังพอนธรรมดา กระต่ายป่า หนูท้องขาว กระรอกหลากสี กระแตเหนือ ค้างคาวยอดกล้วยผีเสื้อ นกนางแอ่นลาย นกเขนน้อยปีกแถบขาว นกปรอดทอง นกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ นกกินแมลงอกเหลือง นกปีกลายสก็อต จิ้งจกดินลายจุด ตุ๊กแกเขาหินทราย กิ้งก่าบินปีกสีส้ม จิ้งเหลนภูเขาเขมร ตะกวด งูดิน งูเหลือม งูแม่ตะงาว งูหัวกะโหลก กบหนอง เขียดจะนา กบหลังขีด กบนา ปาดบ้าน อึ่งข้างดำ และกบอ่อง เป็นต้น ในบริเวณพื้นที่แหล่งน้ำมีปลาหลากชนิดอาศัยอยู่ เช่น ปลากระสูบจุด ปลาตะเพียนทอง ปลานวลจันทร์เทศ ปลาช่อน ปลาหมอเทศ และปลาดุกด้าน เป็นต้น





                               กรมอุทยานฯ ยังปิดอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ ไม่มีกำหนด เพื่อความปลอดภัย ชี้ ต้องรอรายงานสรุปคำพิพากษาศาลโลกจากกระทรวงต่างประเทศก่อน แต่ได้ปรับปรุงอุทยานฯ ใหม่ได้ รองรับนักท่องเที่ยว             ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ (13 พฤศจิกายน 2556) อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ ยังคงปิดทำการอย่างไม่มีกำหนด โดย นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า สาเหตุที่ยังคงไม่เปิดอุทยานฯ นั้น เพื่อความปลอดภัย และไม่ให้กระทบต่อความมั่นคงในช่วงนี้ อีกทั้งยังต้องรอรายงานข้อสรุปการพิจารณาคำตัดสินของศาลโลกทั้งหมดจากกระทรวงการต่างประเทศก่อน จึงจะพิจารณาเปิดทำการอุทยานฯ อีกครั้ง             อย่างไรก็ตาม แม้ในช่วงนี้อุทยานฯ จะปิดทำการ แต่ นายธีรภัทร ระบุว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดูแลผืนป่าอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับปรับปรุงอุทยานฯ ใหม่ ทั้งการปรับป้ายสื่อความหมายต่าง ๆ ให้ดูทันสมัย ปรับปรุงอาคารสถานที่ต่าง ๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ขณะเดียวกันก็เร่งป้องกันและจัดการปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูงอย่างต่อเนื่อง เพราะผืนป่าแถบนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก จึงยังมีผู้เข้ามาลักลอบตัดไม้อยู่





           

           วีรชัย พลาศรัย วอน อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่าไทยจะเสียดินแดนให้กัมพูชา หวั่นเสียประโยชน์ในการเจรจา ย้ำ เลิกพูดเรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เพราะศาลระบุว่าจบไปแล้ว หยิบแผนที่ 1:200,000 มาพิจารณาไม่ได้อีก

           วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2556) เมื่อเวลา 09.30 น. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง "เบื้องหลังคดีตีความปราสาท" ขึ้นที่คณะนิติศาสตร์ โดย นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตประเทศไทย ประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าคณะต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารฝ่ายไทย, นายณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ, ศ.ดร.ชุมพร ปัจจุสานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯศ.ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และ รศ.ดร.สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษา ได้เข้าร่วมสัมมนาด้วย

           ทั้งนี้ นายวีรชัย ได้กล่าวว่า จากผลการตัดสินของศาลโลกนั้น สรุปได้ว่าไทยยังไม่ได้สูญเสียดินแดน เพราะต้องมีการเจรจาร่วมกันกับกัมพูชา ทั้งนี้ ศาลได้ระบุว่า พื้นที่ภูมะเขือไม่ใช่ของกัมพูชา และไม่ได้เป็นพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร ส่วนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ก็ตกไป ไม่จำเป็นต้องไปพูดถึงอีก และก็ไม่สามารถหยิบยกแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนขึ้นมาพิจารณาได้อีกแล้ว ขณะที่ฝ่ายไทยนั้น ศาลได้ระบุว่าไม่สามารถนำเส้นเขตแดนบนแผนที่ตามมติ ครม. ปี 2505 มาอ้างอิงได้ เพราะเป็นการระบุของไทยฝ่ายเดียว

           นายวีรชัย กล่าวต่อว่า หากถามว่าไทยจะเสียดินแดนหรือไม่ คงยังตอบไม่ได้ เพราะต้องไปเจรจากับกัมพูชาก่อน หากการเจรจายังไม่เสร็จสิ้นก็ไม่มีใครมาเอาแผ่นดินนี้ไปได้ ดังนั้น เราไม่ควรรีบด่วนสรุปในตอนนี้ว่าไทยเสียดินแดนไปแล้ว หรือเสียเท่าไร เพราะจะทำให้เราเสียประโยชน์ในการเจรจา และจะมีผลผูกพันต่อการเจรจาในอนาคต

           ส่วนที่ว่าการเจรจาจะมีขึ้นเมื่อไรนั้น นายวีรชัย ระบุว่า ตามธรรมนูญ

ศาลโลกไม่ได้กำหนดกรอบ

ระยะเวลาการเจรจา ดังนั้น จะเจรจาเมื่อไรก็ได้ ซึ่งหากใครไม่เคยเป็นนักเจรจาคงจะไม่ทราบว่าการ

เจรจานั้นยากขนาดไหน แต่ตราบใดที่เราสุจริตก็ไม่มีใครเอาแผ่นดินของเราไปได้



คดีเขาพระวิหารล่าสุด


       
       
        กลายเป็นประเด็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ให้พูดถึงไม่รู้จบจริงๆ สำหรับ "เขาพระวิหาร" หรือ "ปราสาทเขาพระวิหาร" จนทำให้หลายๆ คนอยากรู้ประวัติ ว่า "เขาพระวิหาร" แห่งนี้มีความเป็นมาอย่างไร และกำลังกลายเป็นว่าที่มรดกโลกได้อย่างไร…? แล้วไทยกับกัมพูชามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับประวัติศาสตร์เขาพระวิหารแห่งนี้วันนี้เรามีคำตอบมาเฉลยค่ะ และจะพาย้อนตำนานไปศึกษาประวัติเขาพระวิหารกัน ... อย่ารอช้ารีบตามเข้ามาเลยค่ะ

          เขาพระวิหาร หรือที่หลายๆ คนรู้จักในนาม "ปราสาทเขาพระวิหาร" (Prasat Preah Vihear) และที่ประเทศกัมพูชาเรียกขานว่า "เปรี๊ยะวิเฮียร์" เป็นปราสาทหินตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ในพื้นที่ทับซ้อนชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างบ้านสรายจร็อม อำเภอจอมกระสานต์ จังหวัดพระวิหาร ของประเทศกัมพูชา และบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ใกล้ๆ กับอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร 

          เขาพระวิหาร เป็นบริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนพื้นเมืองสมัยก่อน ในกษัตริย์ชัยวรมันที่ 2 ได้กำหนดเขตบริเวณนี้และเรียกชื่อว่า "ภวาลัย" ภายหลังปรากฏชื่อในจารึกภาษาสันสกฤตว่า "ศรีศิขรีศวร" หมายความว่า "ผู้เป็นใหญ่แห่งภูเขาอันประเสริฐ" ตั้งอยู่บนยอดเขาในเทือกเขาพนมดงรัก ตามแนวเส้นกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา จากหลักฐานต่างๆ คาดว่าสร้างในปี พ.ศ.1432-1443 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เพื่อใช้เป็นสถานที่สักการะตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ โดยสมมติให้เปรียบเสมือน "เขาพระสุเมรุ" (ศูนย์กลางของจักรวาล) โดยการสร้างนั้นก็มีเหตุผลในการรวบรวมอำนาจและความเชื่อของคนในละแวกนั้นเข้าด้วยกัน เพราะในอดีตแถบนั้นมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่รวมกัน พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 จึงโปรดให้สร้างเขาพระวิหารขึ้น เพื่อเป็นจุดยึดเหนี่ยวและศูนย์รวมจิตใจของ ชาวบ้านซึ่งจะทำให้การปกครองง่ายขึ้นด้วย


ปราสาทเขาพระวิหาร 

          "ปราสาทเขาพระวิหาร" หรือ "ปราสาทพระวิหาร" เป็นโบราณสถานที่มีความงดงาม โดดเด่นอยู่เหนือเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งกั้นพรมแดน ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชามีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 657 เมตร ปราสาทเขาพระวิหารเป็นเสมือนเทพสถิตย์บนขุนเขาหรือ "ศรีศิขเรศร" เป็น "เพชรยอดมงกุฎ" ขององค์ศิวะเทพ (พระอิศวร) ตั้งโดดเด่นอยู่บนยอดเทือกเขาพนมดงรัก มีความยาว 800 เมตร ตามแนวเหนือใต้ ส่วนใหญ่เป็นทางเข้ายาวและบันไดสูงถึงยอดเขา จนถึงส่วนปราสาทประธาน ซึ่งอยู่ที่ยอดเขาทางใต้สุดของปราสาท (สูง 120 เมตรจากปลายตอนเหนือสุดของปราสาท, 525 เมตรจากพื้นราบของกัมพูชา และ 657 เมตรจากระดับ)

          ปราสาทเขาพระวิหารประกอบด้วยหมู่เทวาลัยและปราสาทหินจำนวนมาก ทั้งหมดสร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ ซึ่งเทวาลัยหรือปราสาทหินแห่งแรกสร้างขึ้น เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ซากปรักหักพังของเทวาลัยที่เหลืออยู่ มีอายุตั้งแต่สมัยเกาะแกร์ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ครั้น และปราสาทเขาพระวิหารเป็นสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนของ "ขะแมร์กัมพูชา" (ขอม) แต่โบราณ ที่อาศัยอยู่ทั้งในกัมพูชาปัจจุบัน และในภาคอีสานของเรา ขะแมร์กัมพูชา เป็นชนชาติที่มีความสามารถยิ่งในการสร้าง "ปราสาท" ด้วยหินทรายและศิลาแลง ซึ่งขะแมร์กัมพูชาก่อสร้างปราสาทบนเขาพระวิหารติดต่อกันมายาวหลายรัชสมัย กว่า 300 ปี ตั้งแต่กษัตริย์ "ยโสวรมันที่ 1" ถึง "สุริยวรมันที่ 1" เรื่อยมาจน "ชัยวรมันที่ 5-6" จนกระทั่งท้ายสุด "สุริยวรมันที่ 2" และ "ชัยวรมันที่ 7" จากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 (หรือจากพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 หรือก่อนสมัยสุโขทัย 300 ปีนั่นเอง) 

          ทางเข้าสู่ปราสาทประธานนั้น มีโคปุระ (ซุ้มประตู) คั่นอยู่ 5 ชั้น (โคปุระชั้นที่ 5 จึงเป็นส่วนที่ผู้เข้าชมจะพบเป็นส่วนแรก) โคปุระแต่ละชั้นก่อนถึงลานด้านหน้าจะผ่านบันไดหลายขั้น โคปุระแต่ละชั้นจึงเปลี่ยนระดับความสูงทีละช่วง นอกจากนี้โคปะรุยังบังมิให้ผู้ชมเห็นส่วนถัดไปของปราสาท จนกว่าจะผ่านทะลุแต่ละช่วงไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถแลเห็นโครงสร้างปราสาททั้งหมดจากมุมใดมุมหนึ่งได้

          เดิมทีปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในเขตการปกครองของประเทศไทย ขึ้นอยู่กับบ้านภูมิซรอล ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ (ค.ศ.1899, ร.ศ.-118) และเมื่อ พ.ศ. 2442 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เสด็จไปยังปราสาทแห่งนี้ และทรงขนานนามว่า "ปราสาทพรหมวิหาร" ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า "ปราสาทพระวิหาร" ซึ่งพระองค์ได้จารึก ร.ศ. และพระนามไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า 118 สรรพสิทธิ 

          ต่อมาเมื่อปี 2450 จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส (ปกครองเขมรขณะนั้น) อาศัยแสนยานุภาพทางทหารบีบให้รัฐบาลสยาม (ไทย) ยอมเขียนแผนที่กำหนดให้เขาพระวิหารอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ในการทำสนธิสัญญาเพิ่มเติม รัฐบาลสยามก็ยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศษสร้างขึ้นมาแต่โดยดีโดยมิได้ทักท้วง (ซึ่งแต่เดิมถ้าแบ่งตามสันปันน้ำเทือกเขาพนมดงรัก เขาพระวิหารจะอยู่ในฝั่งไทยแต่พอแบ่งตามแผนที่ใหม่ของปี 1907จะอยู่ในฝั่งกัมพูชา) อาจจะเป็นเพราะฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจอยู่ในขณะนั้น และคนไทยก็ยังสามารถเข้าไปยังปราสาทเขาพระวิหารได้โดยง่าย 

          ทั้งๆ ที่ไม่ว่าจะตามสนธิสัญญาเดิม พ.ศ.2447 หรือตามสภาพภูมิศาสตร์ กำหนดให้อยู่ในดินแดนของไทยอย่างชัดเจน จนวันที่ 6 ตุลาคม 2502 รัฐบาลเจ้านโรดมสีหนุแห่งกัมพูชา ภายใต้การหนุนหลังของฝรั่งเศส ได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลก ขอให้ไทยถอนกองกำลังทหารออกจากเขาพระวิหาร และขอให้ศาลชี้ขาดว่าอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารคืน (ยื่นฟ้องทั้งหมด 73 ครั้ง) ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลโลกได้ตัดสินให้อธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารเป็นของประเทศกัมพูชา ด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 เสียง โดยบริเวณดังกล่าวมีเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่





ลักษณะสำคัญของปราสาทเขาพระวิหารจะประกอบด้วย...

          1. บันไดดินด้านหน้าของปราสาท ซึ่งบันไดดินด้านหน้าเป็นทางเดินขึ้นลงขนาดใหญ่ อยู่ทางทิศเหนือของตัวปราสาท ลาดตามไหล่เขา บางชั้นสกัดหินลงไปในภูเขา มีขนาดกว้าง 8 เมตร ยาว 75.50 เมตร มีจำนวน162 ขั้น สองข้างบันไดมีฐานสี่เหลี่ยมตั้งเป็นกระพัก (กระพักแปลว่า ไหล่เขาเป็นชั้นพอพักได้) ขนาดใหญ่เรียงรายขึ้นไป ใช้สำหรับตั้งรูปสิงห์ทวาร-บาล (ทะ-วา-ละ-บาน) เพื่อเฝ้าดูแลรักษาเส้นทาง

         2. สะพานนาคราช หรือ ลานนาคราช อยู่ทางทิศใต้ของบันไดหินด้านหน้า ปูด้วยแผ่นหินเรียบ มีขนาดกว้าง 7 เมตร ยาว 31.80 เมตร สองข้างสะพานนาคราชสร้างเป็นฐานเตี้ยๆ บนฐานมีนาคราช 7 เศียร จำนวน 2 ตัว แผ่พังพานหันหน้าไปทางทิศเหนือ ลำตัวอยู่บนฐานทั้งสอง ทอดไปทางทิศใต้ ส่วนหางของนาคราชชูขึ้นเล็กน้อย นาคราชทั้งสองตัวเป็นนาคราชที่ยังไม่มีรัศมีเข้ามา ประกอบมีลักษณะคล้ายๆ งูตามธรรมชาติ เป็นลักษณะของนาคราชในศิลปะขอม แบบปาปวน 







3. โคปุระ (ซุ้มประตู)ชั้นที่ 5 จะมีภาพวาดโดยปามังติเอร์อยู่ สร้างเป็นศาลาจตุรมุข รูปทรงกากบาทไม่มีฝาผนังกั้น มีแต่บันไดและซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ สร้างอยู่บนฐานบัวสี่เหลี่ยมย่อมุม ฐานสูง 1.8 เมตร บันไดหน้าประตูซุ้มทั้ง 4 ทิศตั้งรูปสิงห์นั่ง เสาโคปุระสูง 3.5 เมตร เป็นศิลปะแบบเกาะแกร์ ยังมีร่องรอยสีแดงที่เคยประดับตกแต่งตัวปราสาทเอาไว้ แต่ส่วนหลังคากระเบื้องนั้นหายไปหมดแล้ว บันไดทางขึ้นโคปุระ ชั้นที่ 5 อยู่ทางทิศเหนือ เป็นบันไดหินมีลักษณะค่อนข้างชัน ทางทิศตะวันออกของโคปุระชั้นที่ 5 มีเส้นทางขึ้นคล้ายบันไดหน้าแต่ค่อนข้างชัน และชำรุดหลายตอน ยาว 340 เมตรถึงไหล่เขา 

          4. โคปุระ (ซุ้มประตู)ชั้นที่ 4(ปราสาทหลังที่ 2) จะภาพของการกวนเกษียณสมุทร ณ เขาพระวิหาร ถือเป็น "หนึ่งในผลงานชิ้นเอกอุของปราสาทเขาพระวิหาร" ทับหลังเป็นภาพของพระนารายณ์บรรทมสินธุ์อยู่เหนืออนันตนาคราช ซึ่งทางดำเนินจากโคปุระ ชั้นที่ 5 มาเป็นลานหินกว้างประมาณ 7 เมตร สองข้างจะมีเสานางเรียงตั้งอยู่ทั้งสองด้าน แต่ก็มีปรักหักพังไปมาก โคปุระชั้นที่ 4 สร้างเป็นศาลาจตุรมุข มีกำแพงด้านทิศใต้เพียงด้านเดียว ยาว 39 เมตรจากตะวันออกไปตะวันตก กว้าง 29.5 เมตร จากเหนือไปใต้ เป็นศิลปะสมัยหลังโคปุระ ชั้นที่ 5 คือ แคลง/บาปวน ด้านนอกตั้งรูปสิงห์ หน้าบันเป็นภาพของการกวนเกษียณสมุทร 

          5. โคปุระ (ซุ้มประตู) ชั้นที่ 3 (ปราสาทหลังที่ 1) เป็นโคปุระหลังที่ใหญ่โตมโหฬารที่ยังสมบูรณ์ที่สุด ลักษณะการสร้างคล้ายกับ โคปุระ ชั้นที่ 1 และ 2 แต่ผิดตรงที่มีฝาผนังกั้นล้อมรอบความใหญ่โตมากกว่า และขนาบด้วยห้องสองห้อง ตัวปราสาทประธานนั้นสามารถผ่านเข้าไปทางลานด้านหน้า บันไดกว้าง 3.6 เมตร สูง 6 เมตร สองข้างมีฐานตั้งรูปสิงห์นั่ง 5 กระพัก มุขเหนือหน้าบันเป็นรูปพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ ทับหลังเป็นรูปพระนารายณ์ 4 กรทรงครุฑ และจากโคปุระชั้นที่ 3 มีบันได 7 ขั้นขึ้นไปสู่ถนนที่ยาว 34 เมตร มีเสานางเรียงปักรายข้างถนน ข้างละ 9 ต้น ถัดจากเสานางเรียงไปเป็นสะพานนาค 7 เศียร

         6. โคปุระ (ซุ้มประตู) ชั้นที่ 2 สร้างเป็นศาลาจตุรมุข มีกำแพงด้านทิศใต้เพียงด้านเดียวอยู่บนไหล่เขาทางทิศเหนือของโคปุระชั้นที่ 2 บริเวณพื้นราบของเส้นทางดำเนินและสองข้างทางขึ้นลงของบันได จะพบรอยสกัดลงในพื้นศิลามีลักษณะเป็นหลุมกลมๆ สำหรับใส่เสาเพื่อทำเป็นปะรำพิธี โดยมีประธานในพิธีนั่งอยู่ในปะรำพิธีเพื่อดูการร่ายรำบนเส้นทางดำเนิน กรอบประตูห้องมีจารึกอักษรขอมระบุบปีศักราชตกอยู่ในสมัยพระเจ้าสุรยวรมันที่ 1 ด้านหน้ามนเทียรมีบันไดตรงกับประตูซุ้มทั้ง 3 ประตู และมีชานต่อไปยังเฉลียงซ้ายและขวา ที่สนามด้านหน้ามีภาพจำหลักตกหล่นอยู่หลายชิ้น เช่น รูปกษัตริย์กำลังหลั่งน้ำทักษิโณฑกแก่พราหมณ์ 

         7. โคปุระ (ซุ้มประตู) ชั้นที่ 1 สร้างเป็นศาลาจตุรมุข รูปทรงกากบาทไม่มีฝาผนังกั้น มีแต่บันไดและซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ สร้างอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม-ย่อมุม บันไดทางขึ้นโคปุระ ชั้นที่ 1 ทางทิศเหนือ เป็นบันไดหินมีลักษณะค่อนข้างชัน เนื่องจากมีความเชื่อกันว่าการที่จะเข้าเฝ้าเทพนั้น จะไปด้วยอาการเคารพนพนอบในลักษณะหมอบคลานเข้าไป ทางทิศตะวันออกมีเส้นทางขึ้นคล้ายบันไดหน้าแต่ค่อนข้างชัน และชำรุดหลายตอนเป็นเส้นทางขึ้นลง ไปสู่ประเทศกัมพูชา เรียกว่า "ช่องบันไดหัก"

          8. สระสรง จะอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของทางดำเนินห่างออกไป 12.40 เมตร จะพบสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดกว้าง 16.8 เมตร ยาว 37.80 เมตร กรุด้วยท่อนหินเป็นชั้นๆ มีลักษณะเป็นขั้นบันได เรียกว่าสระสรงกล่าวกันว่าใช้สำหรับเป็นที่ชำระร่างกายก่อนที่จะกระทำพิธีทางศาสนา



9. เป้ยตาดี เป้ยเป็นภาษาเขมร ซึ่งแปลว่า ชะง่อนผาหรือโพงผา ตามคำบอกเล่าว่านานมาแล้วมีพระภิกษุชรารูปหนึ่งชื่อ "ดี" จาริกมาปลูกเพิงพำนักอยู่ที่นี่จนมรณภาพไป ชาวบ้านจึงเรียกลานหินนี้ว่า "เป้ยตาดี" ซึ่งบริเวณตรงยอดเป้ยตาดีสูงกว่าระดับน้ำทะเล 657 เมตร ถ้าวัดจากพื้นที่เชิงเขาพื้นราบฝั่งประเทศกัมพูชาสูงประมาณ 447 เมตร ตรงชะง่อนผาเป้ยตาดี จะมีรอยสักพระหัตย์ของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ว่า 118-สรรพสิทธิ แต่ก่อนมีธงไตรรงค์ของไทยอยู่ที่บริเวณผาเป้ยตาดี ในปัจจุบันคงเหลือแต่ฐานไตรรงค์ 


         
ปราสาทเขาพระวิหารนับได้ว่าเป็นปราสาทขอมที่สำคัญแห่งหนึ่ง ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์การก่อสร้างเทวสถานของฮินดู และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทั้งของไทยและกัมพูชาอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร มีเนื้อที่ 81,250 ไร่ และได้ประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 115 ตอนที่ 14 ก ลงวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ.2541 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 83 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทย

         
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวการเสนอให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ก็ยังเป็นข้อกังขาของคนไทยหลายๆ คน เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา กลายเป็นประเด็นท็อปฮิตในขณะนี้ และล่าสุดศาลปกครองกลาง ยังได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับมติคณะรัฐมนตรี ที่นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรี ได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทย-กัมพูชา ในการที่กัมพูชาจะขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งบทสรุปเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปนั้นเราคนไทย





นพดล ชี้ คำพิพากษาศาลโลกช่วยตัวเองพ้นข้อหาขายชาติ เพราะเห็นแล้วว่า ไทยไม่เสียดินแดน พร้อมแถลง 9 ข้อ ย้ำ รัฐบาลสมัครปกป้องดินแดน ขออโหสิกรรมให้คนใส่ร้ายป้ายสี

          วันนี้ (17 พฤศจิกายน 2556) นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แถลงที่พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถึงคดีเขาพระวิหารว่า ที่ผ่านมาตนเองถูกกล่าวหามาตลอดว่าขายชาติ ถูกใส่ร้ายมากว่า 6-7 ปี แต่คำตัดสินของศาลเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้ทำให้ประชาชนรู้แล้วว่า สิ่งที่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ทำนั้น เป็นการปกป้องแผ่นดิน ไม่ได้ขายชาติ เพราะพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่ได้ตกเป็นของกัมพูชา

          ทั้งนี้ นายนพดล ระบุด้วยว่า ตนเองเคยชี้แจงที่ถูกใส่ร้ายไปแล้ว แต่ก็ไม่ฟัง เมื่อคำตัดสินศาลออกมา ประชาชนถึงได้เข้าใจ จึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหยุดโกหกเรื่องปราสาทพระวิหารได้แล้ว โดยจากคำตัดสินของศาลได้ทำให้ความจริงปรากฏ ดังนี้

           1. คำตัดสินยืนยันชัดเจนว่า ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชามา 51 ปีแล้วตามที่ศาลโลกตัดสินในปี 2505 ดังนั้น ไทยไม่ได้เสียอะไรเพิ่มจากที่เสียในปี 2505

           2. ปี 2549 ช่วงรัฐบาล คมช. กัมพูชายื่นเอาตัวปราสาทพระวิหาร บวกพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก

           3. ปี 2551 รัฐบาลสมัคร ที่มีตนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศได้คัดค้านและบังคับให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ออก และห้ามไม่ให้นำไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก พร้อมกับขอให้กัมพูชาต้องยื่นแผนผังตัวปราสาทใหม่ แทนแผนที่ที่รุกล้ำพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. ที่ยื่นไว้ในปี 2549 จนสามารถขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น

          ทั้งนี้ พื้นที่ดังกล่าวมีพื้นที่เล็กกว่าเส้นรั้วลวดหนามตามเส้นมติ ครม. เสียอีก โดยไม่รวมพื้นที่ทับซ้อน ตามที่ระบุใน ข้อ 9 ของมติคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ 32 (7 กรกฎาคม 2551) ว่า บันทึกว่าทรัพย์สินที่เสนอสำหรับขึ้นทะเบียนได้รับการลดขนาดและประกอบเพียงปราสาทพระวิหาร และไม่รวมชะง่อนเขาที่มีพื้นที่กว้าง หน้าผา และถ้ำต่าง ๆ

           4. คำตัดสินศาลโลกครั้งนี้ ระบุไว้ชัดเจนว่า กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้เฉพาะตัวปราสาท และไม่รวมพื้นที่พิพาทไทยกัมพูชา (พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.) ตามย่อหน้า 27 ของคำตัดสินศาลโลกว่า ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการมรดกโลกตัดสินใจที่จะขึ้นทะเบียนตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ตาม "แผนผังของทรัพย์สินที่แก้ไขใหม่" ซึ่งไม่รวมพื้นที่ที่พิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา

           5. คณะทนายความผู้ต่อสู้คดี รวมถึงศาสตราจารย์เปลเล่ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระดับโลก ที่มีนายวีระชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำ กรุงเฮก เป็นหัวหน้า ต้องการใช้คำแถลงการณ์ร่วมของตนในการต่อสู้คดี

           6. สรุปว่า คำตัดสินของศาลโลกได้พิสูจน์อย่างชัดเจนว่า คำแถลงการณ์ร่วมไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดนใด ๆ แต่ได้ช่วยปกป้องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ไม่ให้ตกเป็นของกัมพูชา

           7. ตนขออโหสิกรรมนักการเมืองที่ใส่ร้ายตนมาตลอด 5 ปี ทั้ง นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต และนายศิริโชค โสภา เพราะตอนนี้ความจริงปรากฏแล้ว แม้จะใช้เวลานานก็ตาม

           8. คำพิพากษาศาลโลกจะทำให้การบิดเบือนใส่ร้ายทำได้ยากขึ้น เพราะประชาชนเข้าใจแล้วว่าฝ่ายใดทำอะไรไว้ ใครใช้ประเด็นปราสาทพระวิหารมาล้มรัฐบาลสมัคร และใส่ร้ายตนมาตลอด 5 ปี และใครคือผู้ปกป้องดินแดน

           9. ขอเรียกร้องให้ฝ่ายต่าง ๆ หยุดวิจารณ์คำตัดสินศาลโลกเพื่อหวังผลทางการเมือง โดยควรให้ข้าราชการมืออาชีพทำงาน ทุกฝ่ายต้องเลิกสร้างปัญหา แต่ควรร่วมมือแก้ปัญหา